CDN หรือชื่อเต็มว่า Content Delivery Network คือเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก มีหน้าที่หลักคือ ช่วยให้เนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณถูกโหลดได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์หลักเพียงจุดเดียว
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ ถ้าเว็บไซต์ของคุณโฮสต์ไว้ที่กรุงเทพฯ แต่มีคนเข้าเว็บจากสหรัฐฯ หากไม่มี CDN ข้อมูลทั้งหมดต้องเดินทางไกล ทำให้โหลดช้า แต่ถ้าใช้ CDN เซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ผู้ใช้งานที่สุด (เช่น ที่แคลิฟอร์เนีย) จะส่งข้อมูลแทน ทำให้เว็บโหลดเร็วขึ้นทันที
CDN ทำงานอย่างไร ?
- เมื่อมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ CDN จะเก็บเนื้อหาสำคัญ เช่น รูปภาพ ไฟล์ CSS หรือ JavaScript ไว้ในเซิร์ฟเวอร์ใกล้ผู้ใช้มากที่สุด
- ครั้งถัดไปเมื่อมีคนเข้าเว็บจากพื้นที่เดียวกัน CDN ก็จะส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด โดยไม่ต้องเรียกข้อมูลจากต้นทางทุกครั้ง
ประโยชน์ของการใช้ CDN
- เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น
เพราะข้อมูลถูกส่งจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ผู้ใช้งานที่สุด - รองรับผู้ใช้จำนวนมากพร้อมกัน
ช่วยกระจายภาระการโหลด ไม่ให้เซิร์ฟเวอร์หลักทำงานหนักเกินไป - ปลอดภัยขึ้น
หลายผู้ให้บริการมีระบบป้องกัน DDoS ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้เว็บไซต์ - เข้าถึงได้ทั่วโลก
ทำให้เว็บโหลดได้เร็วไม่ว่าผู้ใช้อยู่ทวีปไหนก็ตาม
ใครหรือเว็บไซต์ไหนควรใช้ ?
- เว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมจากหลายประเทศ
- เว็บไซต์ที่มีรูปภาพหรือไฟล์ขนาดใหญ่จำนวนมาก
- เว็บที่ต้องการความเร็วสูงและ uptime ที่เสถียร
- ร้านค้าออนไลน์ หรือเว็บข่าวที่มีคนเข้าเยอะ
ตัวอย่างผู้ให้บริการที่ได้รับนิยม
- Cloudflare
- Akamai
- Amazon CloudFront
- BunnyCDN
- Fastly
CDN ไม่ใช่แค่ของสำหรับเว็บใหญ่ ๆ อีกต่อไป ทุกเว็บไซต์ที่อยากโหลดเร็วและเข้าถึงง่ายจากทุกมุมโลก ควรเริ่มใช้งาน CDN ตั้งแต่วันนี้ เพราะมันคือพื้นฐานของเว็บไซต์ยุคใหม่ที่ให้ประสบการณ์ผู้ใช้ดีที่สุด




